ผู้เขียน หัวข้อ: ตับอักเสบ ป้องกันได้ด้วยวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี  (อ่าน 65 ครั้ง)

siritidaphon

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 327
    • ดูรายละเอียด
ตับอักเสบ ป้องกันได้ด้วยวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี


หลายคนอาจคิดว่าโรคเกี่ยวกับตับนั้น จะเสี่ยงสูงเฉพาะกับคนที่ติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วโรค “ตับอักเสบ” ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด เพราะมีสาเหตุจากเชื้อไวรัส ที่ติดต่อได้จากการกินผ่านทางน้ำลาย ทางเลือด หรือสารคัดหลั่ง โดยสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี

 
สิ่งที่ควรทำเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดต่างๆ

ไวรัสตับอักเสบเอ และอี มักมีการแพร่เชื้อสู่กันทางอาหาร น้ำดื่ม รวมถึงภาชนะใส่อาหารเหล่านั้นด้วย ดังนั้นจึงควรดื่มน้ำต้มสุก ใช้ภาชนะส่วนตัว เช่น แก้วส่วนตัว รับประทานอาหารปรุงสุก ล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ อีกสิ่งหนึ่งที่ควรระวังนั่นก็คือ การสัมผัสสารคัดหลั่งแล้วติดเชื้อ หากเลี่ยงไม่ได้ควรใส่ถุงมือป้องกัน ปัจจุบันเราสามารถลดความเสี่ยงหรือป้องกันการเป็นตับอักเสบจากไวรัสชนิดเอได้ด้วยการฉีดวัคซีน แต่ในส่วนของไวรัสชนิดอีนั้นยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ด้วยเหตุนี้ การดูแลตัวเองจึงมีความจำเป็นอย่างมาก


ไวรัสตับอักเสบบีและซี มักเกิดจากการสัมผัสเลือด หรือผู้ที่ติดยาเสพติดแล้วใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน และกรณีที่ใช้เข็มเจาะหู เข็มสักร่วมกันก็เป็นสาเหตุของการติดเชื้อได้ นอกจากนี้เชื้อไวรัสตับอักเสบบี ยังสามารถติดต่อกันจากแม่สู่ลูกได้ สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีนให้กับทารกตั้งแต่แรกเกิด สิ่งที่ควรทำเพื่อเลี่ยงการติดเชื้อ นั่นก็คือ การไม่ใช้เข็มฉีดยาหรือเข็มสักร่วมกัน เลี่ยงการสัมผัสแผล เลือด น้ำลาย และควรฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี

 
อาการ หากติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ

เมื่อร่างกายได้รับเชื้อไวรัส ก็จะเกิดอาการผิดปกติที่ตับ ซึ่งจะมีอาการตับบวมโต ร่างกายอ่อนเพลีย จุกแน่นใต้ชายโครงขวา ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ท้องเสีย ปัสสาวะสีเข้ม ตัวเหลือง ตาเหลือง อาการจากไวรัสทุกสายพันธุ์ จะปรากฏอาการที่คล้ายกัน ไม่ว่าจะเป็นชนิด เอ บี ซี หรืออี แต่ที่พบบ่อย คือ ไวรัสตับอักเสบเอ บี และซี อาการร้ายแรงมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณของเชื้อไวรัสที่ได้รับและความแข็งแรงของผู้ป่วย


หากมีติดเชื้อเป็นเวลานาน อาจกลายเป็นภาวะตับอักเสบเรื้อรังได้ ซึ่งมักมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และซี ผู้ป่วยมักแสดงอาการอ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียนเป็นบางครั้ง หรืออาจไม่มีอาการผิดปกติ โดยเชื้อไวรัสชนิดนี้จะค่อย ๆ ทำลายเซลล์ตับทีละน้อย จนกลายเป็นภาวะตับแข็ง และอาจลุกลามเป็นมะเร็งตับได้ สำหรับผู้ที่ป่วยรุนแรง มักพบภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ อีก เช่น ท้องบวม เท้าบวม อาเจียนเป็นเลือด ตัวเหลือง ตาเหลือง

อาการหลังติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและไวรัสตับชนิดอื่นๆ

การรักษาไวรัสตับอักเสบ

การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ และ อี คนไข้ส่วนใหญ่จะหายได้เอง และร่างกายก็จะสร้างภูมิคุ้มกันโรคทำให้ไม่กลับมาเป็นอีก และไม่เป็นตับอักเสบเรื้อรัง แต่ในบางกรณีของอาการที่เกิดจากเชื้อไวรัสตับอักเสบอี จะมีแนวโน้มกลายเป็นโรคที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์


การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ร้อยละ 90 มักพบว่าเป็นแบบเฉียบพลัน ซึ่งมีโอกาสหายขาดได้เอง แต่ก็จะมีผู้ป่วยถึงร้อยละ 5-10 ที่พบว่าเชื้อไม่สามารถหายไปได้เองโดยระบบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย แต่ยังคงตรวจพบเชื้ออยู่ตลอด และโรคลุกลามกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง จนนำไปสู่การเป็นมะเร็งตับได้ไวรัสตับอักเสบซี ส่วนมากพบว่าผู้ป่วยจะมีอาการแบบเรื้อรัง ซี่งก็สามารถแบ่งย่อยไปได้อีกหลายสายพันธุ์ แต่ละชนิดก็จะมีแนวทางการรักษาที่แตกต่างกันออกไป ผู้ป่วยจะได้รับผลการรักษาที่ต่างกัน ซึ่งในปัจจุบันมีการรักษาที่ทำให้ผู้ป่วยหายขาดได้ อย่างไรก็ตาม ในบางรายก็พบว่าเสี่ยงเป็นโรคตับแข็ง จนเป็นมะเร็งตับได้ และอาจรุนแรงถึงขั้นตับวายจนเสียชีวิตได้เช่นกัน
 

ไวรัสตับอักเสบเอและบี ชนิดเฉียบพลัน และไวรัสตับอักเสบอี ส่วนใหญ่แพทย์จะรักษาแบบประคับประคอง เพื่อลดการอักเสบของตับ ผู้ป่วยควรพักผ่อนอย่างเพียงพอ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และหลีกเลี่ยงการรับประทานยาพาราเซตามอล โดยระหว่างการรักษา แพทย์จะนัดตรวจเลือดเพื่อดูค่าตับ พร้อมติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง

 

ลงประกาศฟรี ติด google ลงโฆษณา ขายของ ฟรี โพสต์ฟรี ลงประกาศฟรี ขายฟรี ขายบ้าน ขายที่ดิน ขายคอนโด ประกาศฟรี ขายฟรี ขายรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารเสริม เครื่องสำอางค์ สถานที่ท่องเที่ยว เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ Google